หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Brian Tracy ซึ่งเป็นนักเขียน นักพูด และนักฝึกอบรมด้านการพัฒนาตนเองค่ะ มีผลงานเขียนหนังสือเยอะมาก ทั้งหนังสือ Goals, Create Your Own Future และ Change Your Thinking Change Your Life
Eat That Frog พูดถึงวิธีการบริหารเวลาให้คุ้มค่าที่สุด และพูดถึงวิธีการที่จะทำให้ทำงานให้เสร็จ โดยใช้ “กบ” เป็นตัวสื่อถึงงานสำคัญที่ยาก ที่เรามักไม่อยากทำกัน แต่การกินกบตัวนั้นเป็นสิ่งแรกในเช้าของแต่ละวันนั้นเหมือนเป็นการก้าวผ่านสิ่งที่ยากและท้าทายที่สุดของวันไปแล้ว เราก็ไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป แถมยังมีพลัง ความภูมิใจในการใช้ชีวิตด้วย
แต่การกินกบเราต้องกินกบให้ถูกตัวด้วย Brian Tracy สอนให้เรากินกบตัวที่น่าเกลียดที่สุด ก็คือกบตัวที่ใหญ่ที่สุด ยากที่สุด และสำคัญที่สุดอันดับแรกของการเลือกกบคือการดูที่เป้าหมายของเราก่อนว่า เรามีเป้าหมายในการใช้ชีวิตอย่างไร เพื่อที่จะเลือกทำแต่สิ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ
วิธีการเขียนเป้าหมาย
- เขียนเป้าหมายลงบนกระดาษเพื่อความชัดเจน เคยมีวิจัยว่าการเขียนเป้าหมายที่ชัดเจนทำให้คนประสบความสำเร็จได้มากกว่า
- เขียนในรูปปัจจุบันเหมือนว่าเราได้ทำมันสำเร็จแล้ว เช่น เป้าหมายของปี 2013 คือการเก็บเงินให้ได้ 1ล้าน เราก็ต้องเขียนว่า “ฉันมีเงิน 1ล้านบาทในวันที่ 31 ธันวาคม 2013” เป็นต้น
- ใช้คำพูดในแง่บวก
- เขียนโดยใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 ว่า “ฉัน” อย่างโง้นอย่างงี้
- (เติมเองว่า) ระบุชัดเจน วัดได้ เช่น ถ้ามีเป้าหมายคือลดน้ำหนักก็ให้เคยเลยว่า “ฉันน้ำหนัก 50 กิโลกรัมในวันที่ xxx” เป็นต้น
- ได้แล้วก็เลือกมา 1 ข้อที่จะทำให้เกิดผลดีที่สุดต่อชีวิต
เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วเราก็จะรู้ว่าเราจะต้องทำอะไรต่อไปบ้างเพื่อให้เราไปถึงเป้าหมายที่เราวางไว้ ให้เราใช้เวลานิดหน่อยในแต่ละวันก่อนนอนวางแผนเลยว่าวันพรุ่งนี้เราต้องทำอะไรบ้าง การวางแผนไว้ก่อนนอนมีข้อดีที่ทำให้เวลาเราตื่นนอนมาก็จะมีความเข้าใจ มีความคิดไอเดียที่จะทำงานนั้นได้มากขึ้นเพราะสมองเรารู้ว่าวันพรุ่งนี้เราจะทำอะไร เวลาเรานอน สมองมันไม่ได้หยุดไปด้วยมันก็จะคิดอะไรของมันไป บางทีตื่นขึ้นมาเราอาจจะปิ๊งได้ไอเดียขึ้นมาเลยก็ได้
ใช้กฎ 80/20 หลักการพาเรโต
งาน 20% ของงานทั้งหมดจะทำให้เกิดผลลัพท์ 80% ของผลลัพท์ทั้งหมด ดังนั้นก่อนที่เราจะทำงานให้เราดูก่อนว่างานนี้ทำให้เกิดผล 80% ต่อรึเปล่าชีวิตการงานหรือเป้าหมายในชีวิตของเรารึเปล่า
ใช้หลัก ABCDE ในการจัดลำดับความสำคัญ
โดยงาน A เป็นงานที่สำคัญที่สุด B เป็นงานที่ควรทำ C คืองานที่ทำได้ก็ดี D เป็นงานที่ให้คนอื่นทำแทนได้ E คือช่าง(งาน) มันเถอะได้ เมือเรารู้ว่างานเราอยู่ในหมวดไหนบ้างแล้วก็ให้ความสำคัญกับงานที่อยู่ในประเภท A ก่อนเลย
“ทำไมบริษัทถึงจ้างฉัน”
สำหรับพนักงานบริษัทวิธีการที่จะทำให้เรารู้ว่าเราควรเลือกทำงานไหนก่อนได้นั้นก็คือการถามคำถามกับตัวเองว่า “ทำไมบริษัทถึงจ้างฉัน” คำตอบก็คือหน้าที่หลักที่เราต้องทำและให้ความสำคัญ ซึ่งมักเป็นงานที่จะให้ผลกับเรามากที่สุดเช่นกัน
พอเลือกงานที่เราควรทำเป็นอย่างแรกได้แล้ว ก็ถึงเวลาที่เราต้อง “ทำ” ส่วนใหญ่คนมาตกม้าตายกันตรงนี้แหล่ะเนอะ Brian Tracy ก็แนะนำว่า ก่อนทำก็ให้เตรียมทุกอย่างที่ต้องใช้ในการทำงานให้เรียบร้อย ทำโต๊ะให้สะอาดๆ เบอร์โทรหรือของอะไรที่ต้องใช้ก็เอามาไว้ใกล้ๆ เตรียมไว้ให้พร้อม แล้วก็ค่อยๆ ทำไป
หั่นงานเป็นชิ้นๆ
งานที่เป็นโปรเจคใหญ่ หรืองานชิ้นใหญ่เราก็หั่นมันเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วค่อยๆ ทำไปทีละชิ้น วิธีการนี้จะทำให้เราทำงานได้เยอะมากขึ้นเพราะเราจะรู้สึกว่า นิดเดียวเดี๋ยวก็ทำเสร็จแล้ว พอทำเสร็จเรารู้สึกดี มั่นใจขึ้นเราก็ทำชิ้นเล็กชิ้นอื่นๆ ต่อไปได้จนหมด
หาช่วงเวลาที่ทำงานได้ดีที่สุด
คนเราไม่เหมือนกัน บางคนอาจชอบทำงานตอนเช้าๆ เงียบๆ บางคนชอบทำงานตอนเย็นๆ เราก็ต้องดูว่าเราชอบทำตอนไหน เวลาไหนที่ทำแล้วได้ผลมากที่สุด เราก็เลือกเอางานยากๆ ไปทำในช่วงนั้นค่ะ และควรกำหนดช่วงเวลาที่ชัดเจนในการทำงานด้วยนะคะ
ปิดอุปกรณ์สื่อสารบ้าง
เราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างในโลกนี้ก็ได้นะ ข่าวสารไหนที่มันสำคัญจริงๆ เดี๋ยวก็มีคนมาบอกเราเองแหล่ะ เหมือนอีเมล์ถ้าเมล์ไหนสำคัญจริงๆ ก็จะมีคนมาติดต่อเรามาอีกทีเองแหล่ะ
มุ่งมั่นและจดจ่อในการทำงาน
การทำงานแบบทำๆ หยุดๆ อาจยืดระยะเวลาในการทำงานออกไปถึง 500% เพราะเราต้องคอยมาทบทวนสิ่งที่เราทำมาแล้ว ดังนั้นการที่เรา Focus กับงานให้เสร็จไปทีละอย่างนั้นจะประหยัดเวลาของเราได้มากกว่า
สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องไม่มีเวลาให้ที่บ้าน ไม่มีเวลาทำงาน ไม่มีเวลาๆ บลาๆๆๆ จริงๆ แล้วคนเราก็มีเวลาเท่ากันนั่นแหล่ะ หนังสือ Eat that frog ของ Brian Tracy น่าจะช่วยได้บ้างนะคะ